ประวัติเพลง บลูส์

ประวัติเพลง บลูส์ เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2016 พิพิธภัณฑ์เพลงบลูส์แห่งชาติเปิดประตูต้อนรับผู้มาเยือนเป็นครั้งแรกสู่พื้นที่ 2,137 ตารางเมตรที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ทางดนตรีที่สำคัญของประเทศ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ดำเนินการโดยเงินทุนส่วนตัวของศิลปิน นักแสดงชื่อดังมากมายเช่น Shemekia Copeland, Robert Cray, John Goodman, Buddy Guy, Dennis LaSalle, Derek Trucks, Jack White, Morgan Freeman รวมถึงผู้อำนวยการบริหารของพิพิธภัณฑ์แกรมมี่ในลอสแอนเจลิส นอกจากนี้ยังมี Robert Santelli อีกด้วย . เขายังให้คำแนะนำ

ต้นกำเนิดที่แท้จริงของเพลงบลูส์คือแอฟริกา อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวนี้มาพร้อมกับการต้อนทาสเข้าสู่อเมริกา เป็นผลให้เพลงบลูส์พัฒนาจากเพลงสวดในโบสถ์มาสู่กระแสดนตรีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก

บลูส์เป็นสาขาหนึ่งของดนตรีที่มีต้นกำเนิดในแอฟริกา เริ่มเป็นเพลงสวดเพื่อให้ความกระจ่างแก่คนยากจน ยุคการค้าทาสจากแอฟริกาสู่อเมริกา วัฒนธรรมทางดนตรีนี้ดำเนินไปพร้อมกับการใช้แรงงานทาส จนพัฒนาเป็นเพลงที่ร้องสบายๆ ทั่วไป

ดนตรีบลูส์มีลักษณะเป็นเนื้อเพลงที่สื่อถึงความทุกข์และดนตรีบรรเลงที่เรียบง่าย โดยปกติจะเป็นกีตาร์หรือออร์แกนปาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานะของทาส เนื่องจากเป็นดนตรีพื้นฐานของคนจนที่ไม่ได้เรียนดนตรีอย่างจริงจัง โน้ตและคีย์มักจะเบี่ยงเบนไปจากมาตรฐานดนตรีปกติของยุคนั้น อย่างไรก็ตาม มันได้สร้าง Blue Note ด้วยเอกลักษณ์ทางดนตรีที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร ดนตรีรูปแบบนี้ได้กลายเป็นมาตรฐานของดนตรีบลูส์และดนตรีรูปแบบอื่นๆ ในปัจจุบัน

ทำไมถึงต้องเป็นเซนต์หลุยส์ ประวัติเพลง บลูส์

คือคำถามยอดนิยมที่ถูกถามกันมาก (แม้กระทั่งในสื่อก็ตาม) ซึ่งทางพิพิธภัณฑ์เองตอบว่าถึงแม้เซนต์หลุยส์จะไม่ใช่แหล่งกำเนิดต้นฉบับของบลูส์ แต่เมืองนี้ก็มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ดนตรีไม่แพ้ที่ไหน เซนต์หลุยส์เป็นศูนย์กลางของ Blues Belt เส้นทางการเติบโตหลักของดนตรีบลูส์ในอเมริกา อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางทางด้านวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศอีกด้วยประวัติเพลง บลูส์

อีกหนึ่งประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ คือในช่วงต้นยุคศตวรรษที่ 20 ได้เกิดการอพยพครั้งยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า Great Migration (การอพยพครั้งใหญ่ของชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันกว่า 6 ล้านคน จากเมืองชนบททางตอนใต้ของอเมริกา สู่เมืองศิวิไลซ์ทางตอนเหนือ ตลอดจนภูมิภาคอื่นๆ ในช่วงปี ค.ศ.1910-1970 เป็นหลัก) ของผู้คนทางตอนใต้ ขึ้นสู่เมืองทางตอนเหนือของอเมริกา เหล่านักดนตรีบลูส์จากแหล่งต้นกำเนิดทั้งหลาย ก็ได้อพยพจากแถบปากแม่น้ำมิสซิสซิปปี ขึ้นมาตั้งรกรากกันที่เมืองเซนต์หลุยส์เป็นส่วนใหญ่ นั่นทำให้เมืองนี้เป็นเสมือนฐานทัพหลักแห่งหนึ่งของดนตรีบลูส์ในอเมริกาเลยทีเดียว แถมที่นี่ยังเป็นต้นกำเนิดของ St. Louis Blues หนึ่งในประเภทของดนตรีบลูส์ที่มักมีเปียโนเป็นเครื่องดนตรีหลักเป็นเสน่ห์เฉพาะตัว

พิพิธภัณฑ์เพลงบลูส์แห่งชาติอธิบายประวัติศาสตร์โดยเริ่มจากต้นกำเนิดในแอฟริกา สู่การพัฒนาดนตรีบลูส์ในยุคปัจจุบัน ผ่านการจัดแสดงแบบ Interactive ที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงสมัยใหม่ (โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับดนตรี)

นอกจากจะจัดองค์ความรู้ได้ครบถ้วนแล้ว นอกจากนี้คุณยังสามารถสัมผัสประสบการณ์ดนตรีบลูส์ผ่านการแสดงเครื่องดนตรีในห้องโถง ทำให้ทุกคนรู้สึกใกล้ชิดกับดนตรี เพราะกุญแจสำคัญประการหนึ่งในการเปิดพิพิธภัณฑ์แห่งนี้คือการให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงรากเหง้าของเพลงบลูส์ได้อย่างง่ายดาย

นอกจากนิทรรศการต่างๆ แล้ว พิพิธภัณฑ์ยังจัดคอนเสิร์ตเพลงบลูส์เป็นประจำ โดยมีวงดนตรีบลูส์และนักร้องชื่อดังมาแสดงตลอดทั้งปี พิพิธภัณฑ์ยังมีชั้นเรียนพิเศษด้านดนตรีบลูส์สำหรับครูและนักเรียนที่ต้องการเจาะลึกลงไปในสาขานี้

ดนตรีแห่งอิสรภาพ

ดนตรีบลูส์เป็นดนตรีสไตล์หนึ่งที่อ่อนโยนและลึกซึ้งที่สุด เครื่องดนตรีแต่ละชิ้นมีต้นกำเนิดในอเมริกา มีเสน่ห์เฉพาะตัว ดนตรีบลูส์แบบดั้งเดิมมีท่วงทำนองอันเศร้าโศกที่กระตุ้นอารมณ์ของผู้ฟัง ใครเหงาแล้วบ้าง? การฟังสิ่งนี้ทำให้ฉันรู้สึกเหงาทั้งกายและใจมากยิ่งขึ้น ฉันเหงาเกินกว่าจะเลิก ทำไมฟังเพลงบลูส์ถึงรู้สึกเหงา ความเศร้า แปลว่าอะไร แต่งโดยใคร และเพื่อใคร นี่คือคำถามที่คนรักดนตรีทุกคนอยากรู้ ในฉบับนี้เราจะบอกความลับที่น่าสนใจแก่คุณ ติดตามเราและถอดรหัสมันไปพร้อมๆ กัน

คำว่า “สีฟ้า” ในภาษาอังกฤษหมายถึงความเศร้าโศก ชื่อเพลงบลูส์ให้เบาะแสบางอย่าง แล้วมันก็ต้องเกี่ยวข้องกับความโศกเศร้า อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เพราะผู้เขียนจงใจสร้างความรู้สึกเศร้าให้กับผู้ฟัง หากเป็นเพราะดนตรีประเภทนี้สื่อถึงความรู้สึกเศร้า เสียใจ และซึมเศร้า มันกลั่นออกมาจากอารมณ์จริงๆ เนื่องจากปัญหาการกดขี่ การเหยียดเชื้อชาติ และการลิดรอนสิทธิมนุษยชน ทำให้ประชากรผิวสีในอเมริกามีจำนวนน้อยลง นี่เป็นบาดแผลลึกที่ฝังลึกอยู่ในใจของคนผิวดำจากการเป็นทาสมานานหลายปี

ในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา ทาสผิวดำส่วนใหญ่ถูกนำมาจากมิดเวสต์ และส่วนใหญ่ถูกบังคับให้ทำงานในแอฟริกาตะวันออก นิวออร์ลีนส์เป็นตัวอย่างของรัฐที่มีทาสผิวดำมากที่สุด โดยส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่เกษตรกรรม เช่น สวนฝ้าย ไร่กาแฟ ไร่อ้อย และไร่ยาสูบทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา ทาสในรัฐลุยเซียนาเวอร์จิเนียทำให้คนผิวดำถูกกดขี่และลงโทษอย่างโหดร้ายทั้งทางร่างกายและจิตใจ และเสรีภาพของพวกเขาถูกจำกัดในทุกวิถีทาง รวมถึงไม่มีสิทธิ์ในการศึกษาหรือแม้แต่เรียนรู้ที่จะอ่านและเขียน เมื่อคุณป่วยคุณไม่มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาล ในหมู่พวกเขาต้องพึ่งพาไสยศาสตร์และภูมิปัญญาพื้นบ้าน (แอฟริกัน) และพวกเขาไม่มีสิทธิ์รวมกลุ่มเพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ฯลฯ คนผิวดำไม่ใช่แค่พลเมืองชั้นสอง แต่นั่นเป็นระดับต่ำสุดของอเมริกา คุณลองจินตนาการดูว่าคนผิวดำที่ถูกกดขี่ในตอนนั้นเป็นอย่างไร?

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2404 ถึง พ.ศ. 2408 เกิดสงครามกลางเมืองหรือ “สงครามกลางเมือง” ระหว่างอเมริกาเหนือและสหรัฐอเมริกา การปะทุของฉนวนก่อนการระเบิดเกิดขึ้นในอเมริกาใต้มานานหลายปี สาเหตุที่แท้จริงของการชนกันยังไม่ชัดเจน แต่โดยรวมแล้ว มีสาเหตุมาจากการสนับสนุนของอเมริกาเหนือในการเลิกทาส ในทางกลับกัน อเมริกาใต้ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เมื่ออเมริกาเหนือได้รับชัยชนะในที่สุด สงครามก็สิ้นสุดลงและมีการยกเลิกการเป็นทาสของอเมริกา ถูกนำมาใช้อย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2408 ด้วยอุดมการณ์ที่เชื่อในประเทศแห่งเสรีภาพ ความเสมอภาค และความเป็นปัจเจกชนอย่างเต็มที่ และปฏิบัติตามนโยบายระดับชาติและคู่ควรกับเสรีภาพที่ปรารถนามานานนับร้อยปี คนผิวดำเรียกร้อง “ค่าชดเชยเต็มจำนวน”

สำหรับงานนี้ แม้ว่าบางคนจะยังคงทำงานเหมือนเมื่อก่อนและได้รับค่าจ้างตามกฎหมายก็ตาม แต่บางคนก็เริ่มเป็นเจ้าของธุรกิจแล้ว เจ้าของที่ดิน เริ่มสร้างชุมชนและวัฒนธรรมของคุณเอง แน่นอนว่ารวมถึงวัฒนธรรมทางดนตรีด้วย คนผิวดำมีสถานบันเทิงยามค่ำคืนเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการพนัน การฟังเพลง หรือการเต้นรำ เชื่อว่าดนตรีบลูส์ถูกสร้างขึ้นโดยคนผิวดำและเพื่อคนผิวดำในช่วงเวลานี้ ลักษณะเด่น ดนตรีบลูส์ในยุคแรกเป็นสไตล์การร้องเพลงที่ได้รับแรงบันดาลใจจากประสบการณ์อันขมขื่น ความปวดร้าว และความโศกเศร้าของการเป็นทาส ฉันเสียใจจากก้นบึ้งของหัวใจ ประวัติเพลง บลูส์

บทความที่เกี่ยวข้อง